วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

10 เทคโนโลยี 2014

10 เทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในปี 2014


1. Smart City
เมืองในบางประเทศจะได้รับการพัฒนาระบบขนส่ง ระบบสาธารณสุข ระบบไฟฟ้าโดยเริ่มนำเซ็นเซอร์และแอพพลิเคชั่นบนระบบ cloud มาใช้ควบคุมไฟท้องถนนและอาคารสถานที่ต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง สร้างเมืองที่น่าอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 


2. Mobile Payment
การใช้สมาร์ทโฟนเพื่อชำระเงินบริการและเซอร์วิสต่างๆ แทนการใช้กระเป๋าสตางค์เริ่มมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทั้งจากประเทศชั้นนำและในประเทศที่กำลังพัฒนา ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนสำหรับบ้านเราคือเริ่มมีการใช้สมาร์ทโฟน (บางรุ่น) แทนบัตรโดยสารรถไฟฟ้า BTS แล้ว


3. Wearable devices will proliferate
อุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยการจุดประกายความหวังสำหรับอนาคตที่เริ่มจาก Google Glass แว่นตาอัจฉริยะจากค่าย Google ที่ปรากฏออกมาทำให้มีผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีชั้นนำเริ่มคิดค้นหาสิ่งใหม่ๆ มาตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคตมากขึ้น และในปี 2014 จะเป็นปีแห่งการแตกหน่อสินค้าไอทีประเภทอุปกรณ์สวมใส่อีกมากมายที่เราคาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่นนาฬิกาไฮเทค Sony Smartwatch และSamsung Galaxy Gear ที่ถูกนำมาวางขายเคียงคู่กับสมาร์ทโฟนในร้านค้าชั้นนำหลายแห่งแล้ว


4. iPads and tablets will grow in education
แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ไอทีที่ได้รับความนิยมอย่างถูกนำไปใช้งานเพื่อการศึกษาเพิ่มมากขึ้น (โครงการแท็บเล็ต ป.1) มีแนวโน้มว่าเร็วๆ นี้แท็บเล็ตจะสามารถเข้าไปแทนที่คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปได้อย่างเต็มรูปแบบ


5. Mobile fitness devices will grow even bigger
อุปกรณ์ไฮเทคเพื่อการออกกำลังกายได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีการพัฒนาอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เช่นเครื่องนับก้าวเดิน สายรัดข้อมือสำหรับการติดตามกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบการออกกำลังกาย การบริโภคอาหารและมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพทำให้ผู้คนตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น


6. LTE subscribers will double and 4G LTE will start to roll out
เครือข่ายความเร็วสูง 4G LTE จะมีผู้ใช้งานทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2014 ส่วนในบ้านเราต้องจับตาดูว่า กสทช. จะสามารถจัดสรรการประมูลคลื่นความถี่ 4G LTE กับผู้ให้บริการเครือข่ายได้รวดเร็วเพียงใดและบทสรุปของคลื่นที่นำมาใช้งาน 4G LTE และ LTE-A (4.5G) จะออกมาเป็นอย่างไร


7. Device context awareness will accelerate
อุปกรณ์สมาร์ทโฟนและสมาร์ทดีไวซ์จะ "เข้าใจผู้ใช้" มากขึ้น ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่ชาญฉลาดขึ้นและรับรู้ว่าผู้ใช้กำลังทำอะไรและต้องการอะไร ยกตัวอย่างเช่น Google Now ในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่สามารถแสดงข้อมูลที่ผู้ใช้ควรทราบในยามที่เหมาะสม


8. Ouya and other ‘microconsoles’ will disrupt home gaming
เครื่องเกมส์คอนโซลขนาดจิ๋วจะเริ่มเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเล่นเกมส์ภายในบ้าน แม้ว่าในปี 2013 จะมีเครื่องเกมส์ชั้นนำอย่าง PlayStation 4 และ Xbox One เปิดตัวออกมา แต่ก็มีคู่แข่งม้ามืดอย่าง Ouya เครื่องเกมส์คอนโซลขนาดจิ๋วที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับสองรุ่นแรก และแนวโน้มในปี 2014 น่าจะมีเครื่องเกมส์คอนโซลแนวนี้นี้ถูกผลิตออกมาอีกหลายรุ่น


9. Personal clouds will explode
เมื่อคอนเทนต์หรือข้อมูลมัลติมีเดียสามารถเผยแพร่และแชร์ได้ง่ายขึ้น การจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนถามหา แต่การจัดเก็บข้อมูลลงอุปกรณ์สมาร์ทโฟนหรือหน่วยความจำภายนอกอาจจะไม่เพียงพอและไม่สามารถการันตีความปลอดภัยข้อมูลได้ในกรณีที่อุปกรณ์เกิดชำรุดหรือเสียหาย โดยผู้บริโภคส่วนหนึ่งเริ่มหาทางออกด้วยวิธีการใช้บริการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ (Cloud Solutions) และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย ที่สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์พยายามจะเข้าถึงผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนด้วยการส่งแอพพลิเคชั่นเพื่อการจัดการไฟล์มีเดียที่ใช้งานง่ายพร้อมแจกพื้นที่จัดเก็บฟรีสำหรับผู้เริ่มต้น เช่น DropboxGoogle Drive, iCloud, SkyDrive ฯลฯ ซึ่งในปี 2014 จะมีการแข่งขันในส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน


10. 3D printer sales will jump
ยอดขายเครื่องพิมพ์ 3 มิติจะพุ่งสูงชนิดก้าวกระโดด โดยมียักษ์ใหญ่แวดวงไอทีชั้นนำอย่าง HP, Samsung, Microsoft เข้ามาร่วมวง ซึ่งเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติถูกพัฒนาขึ้นและมีความละเอียดในการสร้างชิ้นงานที่ประณีต โดย NASA มีแผนที่จะนำเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ขึ้นไปบนอวกาศเพื่อสร้างชิ้นส่วนอะไหล่ เครื่องมือพิเศษ และทดลองสร้างวัตถุต่างๆ ออกมาในปี 2014 ด้วย

ปี 2014 จะมีเทคโนโลยีอะไรเกิดขึ้นและสามารถสร้างปรากฏการณ์ชนิดที่ผู้คนทั่วโลกต้องจดจำก็คงต้องติดตามรายละเอียดกันต่อไป สวัสดีปีใหม่ครับ...

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

เทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน

เทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน

1. Lithium-air batteries
โครงการพัฒนาแบตเตอรี่ชนิด Lithium-air ได้รับการพัฒนาโดย สถาบัน MIT (Massachusetts Institute of Technology) เมื่อปี 2011 เพื่อเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก ที่มีขนาดเบา และมีประสิทธิภาพสูงกว่าแบตเตอรี่มาตรฐานทั่วไป ลดปัญหาการแบกรับน้ำหนักเครื่องมือของทหาร โดยแบตเตอรี่ Lithium-air ชนิดนี้มีค่าความจุพลังงานถึง 2500 Watt hour per kilogram
2. Solar Soldier project
โครงการพัฒนาแหล่งพลังงานขนาดเล็กจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Photovoltaic และ thermoelectric cell) เพื่อให้สามารถพกพา และที่ติดตั้งบนเครื่องแบบ/สัมภาระของทหารได้ ซึ่งนอกจากจะลดภาระการแบกน้ำหนักของทหารแล้ว ยังเป็นการใช้พลังงานสะอาดในภาคการทหารอีกด้วย การพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารดังกล่าวนี้ได้รับการพัฒนาในหลายประเทศเช่น กระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักร และกองทัพออสเตรเลีย
3. Solar panels
โครงการพัฒนาแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับฐานทัพหน้า ซึ่งพัฒนาโดย กองทัพบกสหรัฐฯ ด้วยการลงทุนถึง 344 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งประกาศว่า ภายในปี 2011 จะสามารถพัฒนาและติดตั้งแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถึง 160,000 แผ่น ให้กับฐานทัพต่างๆ เพื่อลดการใช้ และพึ่งพาพลังงานจากภาคพลังงานของเอกชน ตลอดจนเพื่อให้กองทัพบกสหรัฐฯ สามารถใช้พลังงานสะอาดที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ 25 % จากทั้งหมด ภายในปี 2025
4. Water filtration and re-use systems
โครงการพัฒนาระบบกรองน้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นโครงการโดยกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบระบบที่ห้องทดลอง The System Integration Laboratory ณ Fort Devens, Massachusetts ประเทศสหรัฐฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความสิ้นเปลืองทรัพยากรน้ำของที่ตั้งทางทหารต่างๆ
5. Organic LED night vision devices
โครงการพัฒนากล้องส่องกลางคืน โดยการนำเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น Organic Light Emitting Diodes (LEDs) และ เทคโนโลยี thin-film มาประยุกต์ใช้ ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความร่วมมือของ DARPA และ University of Florida โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการลดการใช้พลังงานของยุทโธปกรณ์ทางทหารชนิดนี้ ซึ่งการวิจัยพบว่า กล้องส่องกลางคืนที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว มีความต้องการพลังงานเพียง 5 volts ตลอดจนส่งผลให้มีน้ำหนักเบาขึ้นลดภาระการแบกน้ำหนักของทหารอีกด้วย
6. Air conditioning
จากการปฏิบัติการทหารทหาร ณ ประเทศอิรัก และอาฟกานิสถานของกองทัพสหรัฐ ในปี 2011 พบว่า กองทัพสหรัฐใช้งบประมาณด้านพลังงานสำหรับการปรับอากาศภายในฐานทัพหน้าถึง 20.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดแนวคิดในการประหยัดพลังงานด้วยการพัฒนาที่พักทหารโดยการใช้ Polyurethane foam เป็นฉนวนกันความร้อน ซึ่งจากการทดลอง พบว่ามีการลดการใช้พลังงานถึง 92%
7. Landfill methane
โครงการพัฒนาโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซมีเทนใต้ดิน ณ Fort Benning Garrison, Alabama ประเทศสหรัฐฯ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Flex Energy ด้วยการสนับสนุนการลงทุนจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก Department of Defense’s Environmental Security Technology Certification Programme ซึ่งโรงงานดังกล่าวสามารถเปลี่ยนพลังงานก๊าซมีเทน เป็นพลังงานไฟฟ้าได้จำนวนมากโดยสามารถสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 250 หลังคาเรือนต่อปี
8. Decentralising heat plants
โครงการพัฒนา/ปรับปรุงโรงงานผลิตไอร้อน ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ด้วยการปรับปรุงระบบการจ่ายไอร้อนจากการรวมการ (Centralized) เป็นแบบกระจาย (Distribution) เพื่อลดอัตราการใช้พลังงานตามข้อกำหนดของรัฐบาลสหรัฐ ปีละ 3% จนถึง ปี 2015
9. US Navy biofuel programs
โครงการพัฒนาพลังงานทางเลือกจากชีวภาพ โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ ร่วมกับ กระทรวงเกษตร (U.S. Department of Agriculture (USDA) ) ในการพัฒนาพลังงานทางเลือกดังกล่าว และได้นำมาใช้งานในยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของ กองทัพเรือ ภายใต้โครงการ ‘Green Hornet’ อันประกอบด้วย F/A-18 Super Hornet ซึ่งได้ใช้พลังงานผสม 50/50 camelina biofuel blen  ใน เมษายน 2010 เป็นต้น ซึ่งหลังจากนั้นได้มีกองทัพเรือได้ปรับการใช้พลังงานทางเลือกไปสู่ยุทโธปกรณ์อื่นๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ฮ.Seahawk, บ.F-22 Rapter และระบบอากาศยานไร้นักบินอย่าง MQ-8B Fire Scout
10. Fuel cells
โครงการพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อเป็นระบบสำรองพลังงานให้กับฐานทัพของกองทัพสหรัฐฯ แทนการใช้เครื่องผลิตไฟฟ้าพลังงานดีเซลได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยกระทรวงพลังงาน ร่วมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยด้านพลังงานให้กับกองทัพ และเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการใช้งบประมาณทั้งในด้านการบำรุงรักษา และเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตของทหาร

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

เทคโนโลยีอํานวยความสะดวก


7 เทคโนโลยีอํานวยความสะดวกแห่งอนาคตที่ถูกเผยโฉมออกมาในปี 2013


01_tech

ขีดจำกัดของเทคโนโลยีถูกทลายกำแพงลงในทุกปีด้วยความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตที่ ง่ายขึ้น และผลงานสิ่งประดิษฐ์ใหม่ก็เผยโฉมออกมาอยู่ตลอดเวลา มาดูกันว่าในปี 2013 มีเทคโนโลยีหรือสิ่งประดิษฐ์อะไรที่น่าสนใจบ้าง
Hyperloop
แนวคิดระบบขนส่งความเร็วสูงที่ใช้ท่อลดแรงดัน ขับเคลื่อนยานแคปซูลที่ทำงานด้วยแรงผลักของมอเตอร์เหนี่ยวนำและแรงอัดอากาศ แนวคิดนี้ถูกเปิดเผยออกมาในเดือนสิงหาคม 2013 ซึ่งหากแนวคิดนี้ผ่านการอนุมัติจะสามารถวิ่งจาก Los Angeles ไปยัง San Francisco Bay ได้ด้วยเวลาเพียง 35 นาที ซึ่งเทียบได้ว่าผู้โดยสารจะเดินทางด้วยความเร็วเฉลี่ย 962 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถทำความเร็วสูงสุดด้วยความเร็ว 1,220 กิโลเมตร/ชั่วโมง

02_tech


Curved display smartphone
ครั้งแรกที่เราเห็นหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ออกแบบให้มีกระจกแบบโค้งเล็กน้อยต้องย้อนกลับไปที่ปี 2010 โดย Samsung Nexus S สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่มีกระจกโค้งปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ในขณะนั้นยังไม่สามารถยืดหยุ่นหรือบิดโค้งงอได้ และในปี 2013 เป็นครั้งแรกที่มีการเปิดตัวอุปกรณ์ที่มีหน้าจอโค้งงอได้จริง โดยปีนี้มีทั้ง LG G Flex, Samsung Galaxy Round ถูกเปิดตัวออกมาและพร้อมวางจำหน่ายทั่วโลกในปีหน้า
03_tech

Oculus Rift
อุปกรณ์สวมหัวที่สามารถแสดงภาพเสมือนสมจริง (Virtual Reality) ซึ่งภายในแว่นเป็นจอภาพที่แยกตาซ้ายและตาขวาออกจากกัน ภาพที่ได้จึงเป็น 3 มิติ โดยพื้นที่ของจอภาพจะกินบริเวณกว้างไปถึงหางตา ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกถึงความสมจริงของภาพ และยังมีระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวของศีรษะ เมื่อเวลาหันหรือเปลี่ยนทิศทางการมอง มุมมองในแว่นก็จะเปลี่ยนตาม สามารถใช้งานร่วมกับเกมมันส์ๆ บนเครื่องพีซีและให้ความร้สึกสมจริงชนิดที่ว่าวางจอยคอนโทรลเลอร์กันไม่ลง

04_tech


Air Drones
หุ่นยนต์ตรวจจับความเคลื่อนไหวทางอากาศ ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างมากในหลายองค์กร เพื่อเป้าหมายในการติดตามผลทางอากาศ บางองค์กรนำไปใช้ในการสำรวจและเฝ้าระวัง แต่ก็มีการนำไปเป็นเครื่องมือทางการทหารด้วยเช่นกัน

05_tech


3D printer
เครื่องพิมพ์สามมิติมีการพัฒนาขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1980 จนถึงปัจจุบันมีการนำเครื่องพิมพ์สามมิติไปใช้อย่างแพร่หลายในเชิงพาณิชย์ ช่วยให้การสร้างชิ้นงานด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบในวงการอุตสาหกรรมพัฒนาไปได้ก้าวไกลมากขึ้น ข้ามไปถึงความคิดที่จะนำเครื่องพิมพ์สามมิติไปใช้งานในอวกาศหรือเอาไปตั้งบนดวงจันทร์เพื่อสร้างเครื่องมือต่างๆ รวมถึงอาหารและที่อยู่อาศัยให้มนุษย์ได้ใช้งานนอกโลกเลยทีเดียว


06_tech


The New Space Race
  ทรัพยากรบนโลกใบนี้มีเพียงพอสำหรับคนทุกคน แต่มีไม่เพียงพอสำหรับคนโลภแม้เพียงคนเดียว การแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรนั้นก้าวล่วงไปถึงอวกาศเสียแล้ว โดยปีนี้นาซ่าได้เปิดตัวยานสำรวจดาวอังคารรุ่นใหม่ล่าสุด ส่วนจีนก็ส่งยานลงจอดที่ดวงจันทร์สำเร็จนับตั้งแต่ครั้งแรกในปี 1976 อีกไม่นานคงมีการนำหุ่นยนต์ไปเดินเล่นที่ดาวเคราะห์น้อย และอาจจะมองไกลไปถึงขั้นการนำแร่หรือทรัพยากรในดาวอื่นกลับมาสู่โลก


07_tech


Wearable Technologies
Google Glass แว่นตาอัจฉริยะจากค่าย Google ถูกเผยโฉมครั้งแรกในปี 2012 และถูกสร้างขึ้นมาอย่างจำกัดเพื่อการวิจัยพัฒนาต่อ จนกระทั่งในปี 2013 แว่นตาดังกล่าวได้กลายเป็นเครื่องมือจุดประกายให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีเร่งผลักดันสินค้าประเภทอุปกรณ์สวมใส่และเครื่องแต่งกายไฮเทคมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Pebble smartwatch, Samsung Galaxy Gear และ Qualcomm Toq เหล่านี้ยังเรียกว่าเป็นอุปกรณ์ รุ่นชิมลาง เพราะมีการคิดไกลไปถึงการออกแบบเสื้อผ้าฝังชิปหรือแม้กระทั่งวิกผมฝังชิปกันเลยทีเดียว


08_tech



ประโยชน์ของเทคโนโลยีสำหรับมนุษย์ก็คงจะเป็นเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มมากขึ้น แต่ต้องพึงระวังว่าการได้เทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้งานต้องไม่ใช่การทำร้ายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากไม่เช่นนั้นแล้วในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าธรรมชาติก็อาจจะลงโทษมนุษย์กลับคืนได้เช่นเดียวกัน

เทคโนโลยีการสื่อสาร

เทคโนโลยีการสื่อสาร


                       เทคโนโลยีการสื่อสาร ย้อนรอยจากอดีตสู่ปัจจุบัน

           มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมที่อยู่ร่วมกันและมีการสื่อสารกันตลอดเวลา และด้วยความชาญฉลาดของมนุษย์ในการถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ในด้านความเชื่อทางศาสนา การบันทึกเรื่องราว หรือแม้แต่การส่งสาร เหล่านี้เองที่ก่อให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีใน การสื่อสารใหม่ ๆ ที่ค่อย ๆ เชื่อมโลก จากกลุ่มคนเล็ก ๆ สู่คนในอีกฟากโลกหนึ่ง และเชื่อมต่อกันได้ทั้งโลก ก่อให้เกิดกระวนการศึกษาเรียนรู้ต่าง ๆ ตามมา
        
      1.โทรศัพท์ (Telephone)ถือกำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1876 (พ.ศ. 2419) อเล็กซานเดอร์ เกร์แฮม เบลล์ วิศวกรชาวสก็อต โดยอาศัยหลังการแปลงคลื่นสัญญานเสียงเป็นไฟฟ้า และส่งต่อสัญญาณไปตามสายไฟฟ้า จากโทรศัพท์เครื่องหนึ่งไปสู่ปากกระบอกของโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่ง
                        Telephone
         2.กำเนิดเครื่องรับส่งวิทยุโทรเลข (First Transatlantic Signal) หลังจากที่ กูลเยลโม มาร์โคนี นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี ได้ประดิษฐ์เครื่องรับส่งวิทยุโทรเลขเครื่องแรกของโลกขึ้น จนสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนทั้งโลกมาแล้วด้วยระบบการส่งสัญญาณไร้สาย และได้ถูกนำไปใช้ในกิจการเดินเรือในฐานะเครื่องมือสื่อสารที่สะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในยุคนั้น ต่อมาเขาก็สามารถพัฒนาเครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรเลขให้สามารถส่งสัญญาณข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก จากคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ ถึง เกาะนิวฟันด์แลนด์ ประเทศแคนาดา ได้สำเร็จใน ค.ศ.1902 (พ.ศ. 2445)  

                                    02

          3.การแพร่ภาพโทรทัศน์ครั้งแรกของโลก (First TV Broadcast) เมื่อราว ค.ศ. 1927 (พ.ศ. 2470) ในสก็อตแลนด์ จอห์น โลจี เบร์ด วิศวกรชาวสกอตแลนด์ สามารถประดิษฐ์ระบบโทรทัศน์ได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลก ในช่วงเวลาเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์จากชาติอื่น ๆ ก็อยู่ในระหว่างทดลองและประดิษฐ์การรับส่งสัญญาณภาพของโทรทัศน์เช่นกัน และนั่นเป็นผลให้ จอห์น โลจี เบร์ด ได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งโทรทัศน์

       4. เริ่มปล่อยสัญญาณ ARPANET (ARPANET Launched) เครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) เป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) เพื่อจุดประสงค์ทางด้านการวิจัยขั้นสูง ที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ และต่อมาเครือข่าย ARPANET ก็ได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน

     5.เวิล์ด ไวด์ เว็บ (WWW/World Wide Web) เครื่องข่ายข่าวสารที่เชื่อมโลกถึงกันนี้ กำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) หลังจากที่รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาและปล่อยระบบควบคุมอินเทอร์เน็ตออกมา เวิล์ด ไวด์ เว็บ จึงเกิดขึ้น นำมาซึ่งการส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน 
                     WWW/World Wide Web

        6. AIM Messenger หรือ American Online Instant Messenger ถือกำเนิดในสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) เป็นโปรแกรมแชทยอดนิยมในสหรัฐอเมริกาที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารกันผ่านอินเทอร์เน็ตได้ด้วยการส่งข้อความ รูปภาพ และคลิปวิดีโอถึงกัน

                            aim7_beta

           7.บล็อก (Blogging) นับตั้งแต่ Blogger.com ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) ความนิยมในการเขียนบล็อกก็เพิ่มขึ้นและกระจายไปทั่วทั้งโลก โดยบล็อกนั้นเป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด โดยเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาชมเนื้อหาและร่วมแสดงความคิดเห็นภายในบล็อกได้ 
                       blogger
           8. เฟซบุ๊ก (Facebook) เป็นบริการเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด โดยในทุกวันนี้มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กถึงประมาณ 850 ล้านคนทั่วโลก ก่อตั้งขึ้นโดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ในสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) ร่วมกับเพื่อน ๆ คือ เอ็ดวาร์โด ซาเวริน, ดิสติน มอสโควิตซ์ และคริส ฮิวส์ โดยในช่วงแรกเฟซบุ๊กได้เปิดให้ใช้งานเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก่อนที่ต่อมาจะได้ขยายตัวออกไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา และขยายมาให้บริการแก่ผู้ใช้ทั่วไปทุกคนเหมือนในปัจจุบัน
                  

        9.ยูทูบ (YouTube) เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการอัพโหลดและและเปลี่ยนคลิปวิดีโอ โดยผู้ใช้ ถือกำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา จากความร่วมมือในการก่อตั้งของ แชด เฮอร์ลีย์, สตีฟ เชง และ ยาวีด คาริม อดีตพนักงานบริษัทเพย์พาล เมื่อ ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิล
         
            YouTube

       10.ทวิตเตอร์ (Twitter) ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 มีบริษัท Obvious Corp ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าของ แต่ผู้ที่พัฒนาทวิตเตอร์ขึ้นมาคือ Evan Williams และ Meg Hourihan ja

Twitter logo

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีการแสดงผลเสียง

เทคโนโลยีการแสดงผลเสียง

ลำโพงสปีกเกอร์ไร้สาย


imgwirelessspeaker

ด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของเทคโนโลยีลำโพงไร้สาย (Wireless speaker) คุณสามารถฟังเพลงโปรดของคุณได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นสนามหลังบ้าน หรือแม้แต่สนามหลังบ้านของเพื่อนบ้าน ในวันนี้เราจะแนะนำและอธิบายเทคโนโลยีไร้สาย 3 แบบยอดนิยมพร้อมกับจัดอันดับลำโพงไร้สายที่คุ้มค่าที่สุด
Bluetooth – บลูทูธเป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุเพื่อช่วยให้อุปกรณ์ในการสื่อสารกับแต่ละอื่น ๆ เพราะคลื่นวิทยุสามารถผ่านวัตถุที่เป็นของแข็งเช่นผนังพื้นและประตูโดยไม่จำเป็นต้องเรียงอุปกรณ์ให้ตรงกันเพื่อเปิดใช้งานบลูทูธ ลำโพงที่มีบลูทูธเทคโนโลยีมักจะง่ายต่อการจับคู่กับอุปกรณ์เช่น iPod iPhone หรือเครื่องเล่นเพลงพกพาทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม Bluetooth มีช่วงระยะทำงานสั้น ๆ – ซึ่งปรกติแล้วจะไม่เกิน 9 เมตรระหว่างสองอุปกรณ์ ดังนั้นถ้าคุณต้องวางลำโพงอยู่ไกลออกไปจากเครื่องเพลงของคุณ คุณอาจต้องต้องพิจารณาลำโพงที่มีระบบ WiFi นอกจากนี้ปริมาณของข้อมูลที่สามารถส่งผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธนั้นมีจำกัด ลำโพง WiFi จึงสามารถส่งมอบเสียงได้ระเอียดมากกว่า
WiFi – ไวไฟนั้นใช้เทคโนโลยีวิทยุคลื่นในรูปแบบการเชื่อมต่อแบบไร้สายระหว่างอุปกรณ์เหมือนกัน แต่สัญญาณ WiFi นั้นเร็วกว่า สามารถส่งผ่านข้อมูลได้มากกว่าและทำงานได้ในรัศมีที่กว้างกว่ามาก เทคโนโลยี WiFi ยังคงถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายช่วงรัศมีสัญญาณและความเร็ว มันเป็นเทคโนโลยีที่คุณต้องการหากคุณอยากติดตั้งเครือข่ายเสียงภายในบ้าน แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งคืออุปกรณ์ที่ทำงานผ่านเครือข่าย WiFi มีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานมากกว่าจากบลูทูธ
Airplay - แอร์เพลย์เป็นเทคโนโลยีของ Mac ที่ทำงานผ่านเครือข่ายไร้สายของคุณเพื่อให้เนื้อหาจากทุกอุปกรณ์ของ Mac สื่อสารแบบไร้สายกับอีกเครื่องได้ ดังนั้นถ้าเพลงส่วนใหญ่ของของคุณถูกเก็บไว้ใน iTunes บน Macbook คุณก็จะยิงสัญญานไปยังอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน Airplay ในบ้านโดยไม่ต้องไปผ่านขั้นตอนการติดตั้งเครือข่ายที่ยุ่งยาก

TOP 3 WIRELESS SPEAKER – ลำโพงไร้สายที่ดีที่สุด

soundlinkbose
(1. Bose SoundLink Bluetooth Mobile speaker II)
Libratone ZipLibratone Zipp
(2. Libratone Zip)
jawbone big jambox
(3. Jawbone Big Jambox)

         


- เครื่องเสียงที่มีดีไซน์หรูหรา ด้วยพื้นผิวสีดำมันเงาที่เข้ากับอุปกรณ์ เพื่อความบันเทิงภายในบ้านชิ้นอื่นๆ อย่างลงตัว โดยหน้าจอแสดงผลด้านหน้ามีขนาดใหญ่ และสามารถควบคุมการทำงานด้วยระบบสัมผัส ในขณะที่แสงไฟสีฟ้าน้ำทะเล (Aqua Blue Lighting) รูปวงแหวนกลางตัวเครื่อง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของทั้งระบบ 

- ด้านบนออกแบบให้เป็น iPod Docking เพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น iPod ซึ่งควบคุมการเล่นเพลงผ่านรีโมทคอนโทรลได้ทันที และยังชาร์จไฟให้กับ iPod ได้ในตัว และยังมาพร้อมกับชุดลำโพงคุณภาพสูง ที่ช่วยสร้างบรรยากาศการรับชมรายการโทรทัศน์ที่ยอดเยี่ยม พร้อมความสามารถในการเล่นดีวีดีที่สมบูรณ์แบบ และเทคโนโลยี Virtual Sound Matrix ที่สามารถสร้างเอฟเฟ็กต์เสียงรอบทิศทางได้อย่างสมจริง เสมือนมีลำโพงหลายตัว และเพียบพร้อมด้วยฟังก์ชันการทำงานสมบูรณ์แบบ 

- พลังเสียง 160W(RMS) ล้ำสมัยด้วยดีไซน์ของ Aqua LED Lighting&Inclined Speaker, iPod & iPhone Docking Play & Recharge, รองรับแผ่น DivX play back, USB Plus รองรับไฟล์รูปภาพ, เพลง และภาพยนตร์, USB Direct Recording สามารถแปลงไฟล์เพลงจากแผ่น CD Audio ให้กลายเป็นไฟล์เพลง MP3 บันทึกลงใน USB ได้ทันที 

เครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์ 3 มิติ เหนือกว่าด้วยระบบลำโพงแบบ Upright 3D Speakers และ 3D Sound Zooming ครั้งแรกของโลก






3D Sound Zooming
แอลจีขอแนะนำเครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์สามมิติแบรนด์แรกของโลก “Cinema 3D Sound Home Theater”  ที่มีเทคโนโลยี3D Sound Zooming ให้ความบันเทิงในระบบ 3 มิติ ถ่ายทอดมิติของเสียงได้อย่างเสมือนจริง ทำให้คุณได้ยินเสียงที่เหมือนกับใกล้เข้ามาหรือไกลออกไปอย่างสมจริง  โดยคลื่นเสียงจะกระจายเสียงขึ้นสู่ด้านด้านบนและสะท้อนเสียงรอบห้องด้วยระบบลำโพง 9.1 Upright 3D
Upright 3D Speakers
นอกจากนั้นยังมีระบบ 3D Surround Processor ที่นำทุกเสียงมาสู่ผู้ฟังแม้จะเป็นรายละเอียดเสียงที่เล็กที่สุด จากการวิเคราะห์และกลั่นกรองเสียงจากต้นฉบับ ที่ซับซ้อน สร้างการรับรู้ของเสียงที่กระจายโดยรอบทั่วทุกมุมห้อง
Sound Field Expansion
ทั้งยังมีระบบ Sound Field Expansion ที่ช่วยกระจายเสียงในแนบราบ ให้เสียงกระจายรอบๆตัวผู้ฟัง เสมือนในโรงภาพยนตร์ ให้คุณดื่มด่ำและเต็มเติมอรรถรสของเสียงสามมิติได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดล

 Aves Digital ค่ายดังจากอังกฤษ เปิดตัวลำโพง Blutooth เทคโนโลยี A2DP


 เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับลำโพง bluetooth จากทาง Aves Digital ซึ่งครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะว่ามากันถึง 3 รุ่นพร้อมๆกัน โดยใช้เทคโนโลยี A2DP เหมือนกันหมดทุกรุ่น ไม่ต้องลุ้นว่าตัวไหนมีหรือว่าไม่มี

สำหรับรุ่นท็อปสุดนั่นคือ Aves Digital Diamond (£89) ซึ่งเป็นลำโพงตั้งโต๊ะที่มี driver ถึงสองตัว ซึ่งในแต่ละตัวนั้นมีกำลังขับถึง 15W และมีช่องขนาด 3.5mm ไว้สำหรับใช้กับอุปกรณ์อื่นที่ไม่มี bluetooth

รุ่นรองลงมาคือรุ่น Aves Digital Aqua (£60)  ซึ่งทำงานโดยใช้เพียงสาย USB เพียงเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เท่านั้นโดยไม่ต้องห่วงว่าใครจะเดินสะดุดสายไฟ หรือถ้าอยากจะเดินถือไปมาก็สามารถทำได้โดยการใช้แบตเตอร์รี่ภายในที่อยู่ได้ถึง 6 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต้องกลัวแบตหมดก่อนหมดวันแน่นอน โดยลำโพงตัวนี้มี driver เพียงตัวเดียว และมีกำลังขับ 3W โดยมาพร้อมกับปุ่มแบบสัมผัส

รุ่นต่อมาคือรุ่น Aves Digital Crystal (£60) ซึ่งมีราคาเท่ากับรุ่น Aqua แต่ส่วนที่แตกต่างคือ Crystal นั้นใช้ driver ขนาด 1.5 นิ้ว จำนวน 2 ตัว โดยความพิเศษของรุ่นนี้คือสามารถใช้สนทนาโทรศัพท์ผ่านทางลำโพงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานระหว่างขับรถโดยไม่ต้องกลัวตำรวจจับ ข้อหาโทรศัพท์ในขณะขับรถให้เปลืองเงินเปล่าๆ

ลำโพง JBL : On Tour XTB

ลำโพง JBL : On Tour XTB
JBL On tour XTB คือลำโพงแบบขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ให้การตอบสนองของเสียงได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงการนำเอาความเป็นเลิศทางด้านเทคโนโลยีแบบ Wireless Bluetooth มาใช้ด้วยนั้น ทำให้เจ้า On tour XTB เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเครื่องเสียง JBL ที่ซึ่งมีชื่อเสียงมายาวนานทั้งทางด้านคุณภาพและความเป็นผู้นำในด้านการผลิตเครื่องเสียง
ความสามารถพิเศษของ JBL On tour XTB คือระบบ Wireless Bluetooth เมื่อคุณเปิดใช้คุณสามารถเชื่อมต่อเข้าได้กับเครื่องเล่น MP3, iPod และ โทรศัพท์มือถือที่รองรับการฟังเพลงทุกชนิดที่มีระบบ Bluetooth หรือเครื่องเล่นอื่นๆ ที่มีสาย Audio Jack ขนาด 3.5″
ทางด้านคุณภาพเสียง JBL On tour XTB จะให้คุณได้สัมผัสกับระบบเสียงแบบใส หนักแน่น ชัดเจน ในทุกรายละเอียด ที่มาจากการออกแบบลำโพงแบบ Compact และ รวมถึงการเพิ่มฟังค์ชั่นการทำงานของระบบ Hands free speaker ที่จะทำให้คุณสามารถพูดคุยโทรศัพท์หรือได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของคุณ เชิญลองสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่จาก JBL On tour XTB Sound Center

ลำโพง YAMAHA : SWK-W10

ลำโพง YAMAHA : SWK-W10
ลำโพง YAMAHA : SWK-W10
ลำโพงชุดซับวูฟเฟอร์ไร้สาย  คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น AirWired-compatible กับซับวูฟเฟอร์ไร้สายได้ การเชื่อมโยง AirWired เป็นการส่งสัญญาณโดยไม่ถูกบีบอัด (linear PCM) เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการสูญเสียของสัญญาณข้อมูล ซึ่งจะทำให้ได้คุณภาพเสียงสูงสุด

ลำโพง JBL : ON TOUR IBT

ลำโพง JBL : ON TOUR IBT
ลำโพง JBL : ON TOUR IBT
High-performance portable sound system with Bluetooth® technology 
เพลิดเพลินกับภาพยนตร์,เพลงหรือเกมได้ทุกที่แบบไร้สาย ด้วยเทคโนโลยี Bluetooth มีไมค์ในตัวให้คุณแชท หรือสนทนา ผ่านทาง Speakerphone มีขาตั้งเพื่อให้คุณสามารถรับชม iPad หรือ Tablet ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน ทำงานด้วยแบตเตอรี่ JBL OnTour ™ iBT สามารถเล่นกับอุปกรณ์ใดๆผ่านทาง Bluetoothทั้งiPad, iPhone, iPod Touch, Smartphone, MP3, laptop หรือdesktopโดยให้เสียงที่ใสสะอาด และทรงพลัง สไตล์ JBL® ไม่ว่าที่ใดก็ตาม มันยังเชื่อมต่อโดยตรงกับเครื่องเล่นต่างๆผ่านทางสายสเตอริโอมินิแจ็ค  JBL On Tour iBT มีลำโพง Odyssey ® สี่ตัวให้เสียงแบบฟูลเลนจ์ และรองรับระบบ DSP ซึ่งให้รายละเอียดเสียงชัดเจนในรูปแบบ 360 องศา เป็นเครื่องเสียงพกพาขนาดเล็กกะทัดรัด JBLOn Tour iBT ใช้เทคโนโลยี Bluetooth แบบใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการส่งข้อมูลเพลงผ่านทางระบบ wireless ร่วมกับอุปกรณ์จาก Apple สนุกไปกับการเล่นเพลงไม่ว่าที่ใดที่ชีวิตนำไปกับเพื่อนคุณผ่านทาง JBL On Tour iBT
Highlights
  • ทำงานร่วมกับ  iPad 2, iPad, iPhone 4, iPod Touch และอีกหลายอุปกรณ์ผ่านทาง Bluetooth ที่รองรับระบบ A2DP  และ AVRCP
  • ประสิทธิภาพสูง,ชิ้นเดียว, ระบบเสียง 2 ช่องทาง
  • ง่ายต่อการใช้งานด้วยระบบสัมผัส
  • ใช้เทคโนโลยี Bluetooth แบบใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการส่งข้อมูลเพลงผ่านทางระบบ wireless ร่วมกับอุปกรณ์จาก Apple
  • รวมขาตั้งแบบปรับได้ถึง 6 มุมมองที่ต่างกัน สำหรับรับชม iPad หรือ Tablet ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
  • ภาคขยายแบบดิจิตอลควบคู่ไปกับระบบ DSP
  • ใช้แบตเตอรี่ขนาดAA 4ก้อน สำหรับการเล่นเพลงแบบต่อเนื่องนาน 5 ชม.
  • มีไมค์ในตัวให้คุณแชท หรือสนทนา ผ่านทาง Speakerphone รวมถึงระบบป้องกันเสียงสะท้อน เพื่อให้คุณสามารถสนทนาได้อย่างชัดเจน
  • ทำงานได้ทั้งแบตเตอรี่ หรือไฟบ้าน รวมถึงระบบจ่ายไฟแบบ Multi Voltage
  • มีช่องต่อ USB สำหรับชารจ์ไฟให้กับ iPad, iPhone และ iPod touch เมื่อทำงานจากระบบไฟบ้าน

ลำโพง Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth

ลำโพง Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth
ลำโพง Might Dwarf : Blue II Bluetooth
นวัติกรรมใหม่ของโลกกับ Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth ลำโพง Bluetooth ที่จะเป็นทุกอย่างที่มันสัมผัสให้กลายเป็นลำโพงเสียงทรงพลัง  ไม่ว่าจะวางบนโต๊ะ แปะไว้บนกระจก วางบนกล่อง ทุกที่ก็จะกลาย เป็นลำโพงส่งเสียงเพลงออกมาทันที และยังสามารถใช้ร่วมกับมือถือเพื่อรับโทรศัพท์ได้อีกด้วย ที่ตัวลำโพงสามารถควบคุมเสียง ทั้งเพิ่มและลดเสียง รวมทั้งสามารถกดหยุดหรือข้ามและถอยหลังไปฟังเพลงถัดไปได้อีกด้วย สามารถใช้ได้กับ เครื่องเล่นทุกชนิดที่มีระบบ Bluetooth รองรับ หรือสามารถต่อผ่านเครื่องเล่น iPod, MP3, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, โน้ตบุ้ค, และอุปกรณ์ Multimedia ทุกประเภทด้วย Stereo Mini Jack ขนาด 3.5 mm

Specifications :
• สามารถใช้ได้กับ เครื่องเล่นทุกชนิดที่มีระบบรองรับ รวมถึงเครื่องเล่น Ipod, MP3, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, โน้ตบุ้ค, และอุปกรณ์Multimedia ทุกประเภทด้วยการต่อผ่าน Stereo Mini Jack ขนาด 3.5 mm
• Bluetooth ระยะ 10m
• Speaker
• กำลังขับ 10 Watt
• การตอบสนองความถี่อยู่ที่40 Hz – 20 kHz
• ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 76 มิลลิเมตร ความสูง 68 มิลลิเมตร
• น้ำหนัก 290 กรัม
• ใช้กระแสไฟ 110V – 240V AC
• มีแบตเตอร์รี่ Lithium-ionสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงและใช้เวลาการประจุไฟฟ้าภายใน 4 ชั่วโมง ผ่านทาง UBS