วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีการแสดงผลเสียง

เทคโนโลยีการแสดงผลเสียง

ลำโพงสปีกเกอร์ไร้สาย


imgwirelessspeaker

ด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของเทคโนโลยีลำโพงไร้สาย (Wireless speaker) คุณสามารถฟังเพลงโปรดของคุณได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นสนามหลังบ้าน หรือแม้แต่สนามหลังบ้านของเพื่อนบ้าน ในวันนี้เราจะแนะนำและอธิบายเทคโนโลยีไร้สาย 3 แบบยอดนิยมพร้อมกับจัดอันดับลำโพงไร้สายที่คุ้มค่าที่สุด
Bluetooth – บลูทูธเป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุเพื่อช่วยให้อุปกรณ์ในการสื่อสารกับแต่ละอื่น ๆ เพราะคลื่นวิทยุสามารถผ่านวัตถุที่เป็นของแข็งเช่นผนังพื้นและประตูโดยไม่จำเป็นต้องเรียงอุปกรณ์ให้ตรงกันเพื่อเปิดใช้งานบลูทูธ ลำโพงที่มีบลูทูธเทคโนโลยีมักจะง่ายต่อการจับคู่กับอุปกรณ์เช่น iPod iPhone หรือเครื่องเล่นเพลงพกพาทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม Bluetooth มีช่วงระยะทำงานสั้น ๆ – ซึ่งปรกติแล้วจะไม่เกิน 9 เมตรระหว่างสองอุปกรณ์ ดังนั้นถ้าคุณต้องวางลำโพงอยู่ไกลออกไปจากเครื่องเพลงของคุณ คุณอาจต้องต้องพิจารณาลำโพงที่มีระบบ WiFi นอกจากนี้ปริมาณของข้อมูลที่สามารถส่งผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธนั้นมีจำกัด ลำโพง WiFi จึงสามารถส่งมอบเสียงได้ระเอียดมากกว่า
WiFi – ไวไฟนั้นใช้เทคโนโลยีวิทยุคลื่นในรูปแบบการเชื่อมต่อแบบไร้สายระหว่างอุปกรณ์เหมือนกัน แต่สัญญาณ WiFi นั้นเร็วกว่า สามารถส่งผ่านข้อมูลได้มากกว่าและทำงานได้ในรัศมีที่กว้างกว่ามาก เทคโนโลยี WiFi ยังคงถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายช่วงรัศมีสัญญาณและความเร็ว มันเป็นเทคโนโลยีที่คุณต้องการหากคุณอยากติดตั้งเครือข่ายเสียงภายในบ้าน แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งคืออุปกรณ์ที่ทำงานผ่านเครือข่าย WiFi มีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานมากกว่าจากบลูทูธ
Airplay - แอร์เพลย์เป็นเทคโนโลยีของ Mac ที่ทำงานผ่านเครือข่ายไร้สายของคุณเพื่อให้เนื้อหาจากทุกอุปกรณ์ของ Mac สื่อสารแบบไร้สายกับอีกเครื่องได้ ดังนั้นถ้าเพลงส่วนใหญ่ของของคุณถูกเก็บไว้ใน iTunes บน Macbook คุณก็จะยิงสัญญานไปยังอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน Airplay ในบ้านโดยไม่ต้องไปผ่านขั้นตอนการติดตั้งเครือข่ายที่ยุ่งยาก

TOP 3 WIRELESS SPEAKER – ลำโพงไร้สายที่ดีที่สุด

soundlinkbose
(1. Bose SoundLink Bluetooth Mobile speaker II)
Libratone ZipLibratone Zipp
(2. Libratone Zip)
jawbone big jambox
(3. Jawbone Big Jambox)

         


- เครื่องเสียงที่มีดีไซน์หรูหรา ด้วยพื้นผิวสีดำมันเงาที่เข้ากับอุปกรณ์ เพื่อความบันเทิงภายในบ้านชิ้นอื่นๆ อย่างลงตัว โดยหน้าจอแสดงผลด้านหน้ามีขนาดใหญ่ และสามารถควบคุมการทำงานด้วยระบบสัมผัส ในขณะที่แสงไฟสีฟ้าน้ำทะเล (Aqua Blue Lighting) รูปวงแหวนกลางตัวเครื่อง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของทั้งระบบ 

- ด้านบนออกแบบให้เป็น iPod Docking เพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น iPod ซึ่งควบคุมการเล่นเพลงผ่านรีโมทคอนโทรลได้ทันที และยังชาร์จไฟให้กับ iPod ได้ในตัว และยังมาพร้อมกับชุดลำโพงคุณภาพสูง ที่ช่วยสร้างบรรยากาศการรับชมรายการโทรทัศน์ที่ยอดเยี่ยม พร้อมความสามารถในการเล่นดีวีดีที่สมบูรณ์แบบ และเทคโนโลยี Virtual Sound Matrix ที่สามารถสร้างเอฟเฟ็กต์เสียงรอบทิศทางได้อย่างสมจริง เสมือนมีลำโพงหลายตัว และเพียบพร้อมด้วยฟังก์ชันการทำงานสมบูรณ์แบบ 

- พลังเสียง 160W(RMS) ล้ำสมัยด้วยดีไซน์ของ Aqua LED Lighting&Inclined Speaker, iPod & iPhone Docking Play & Recharge, รองรับแผ่น DivX play back, USB Plus รองรับไฟล์รูปภาพ, เพลง และภาพยนตร์, USB Direct Recording สามารถแปลงไฟล์เพลงจากแผ่น CD Audio ให้กลายเป็นไฟล์เพลง MP3 บันทึกลงใน USB ได้ทันที 

เครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์ 3 มิติ เหนือกว่าด้วยระบบลำโพงแบบ Upright 3D Speakers และ 3D Sound Zooming ครั้งแรกของโลก






3D Sound Zooming
แอลจีขอแนะนำเครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์สามมิติแบรนด์แรกของโลก “Cinema 3D Sound Home Theater”  ที่มีเทคโนโลยี3D Sound Zooming ให้ความบันเทิงในระบบ 3 มิติ ถ่ายทอดมิติของเสียงได้อย่างเสมือนจริง ทำให้คุณได้ยินเสียงที่เหมือนกับใกล้เข้ามาหรือไกลออกไปอย่างสมจริง  โดยคลื่นเสียงจะกระจายเสียงขึ้นสู่ด้านด้านบนและสะท้อนเสียงรอบห้องด้วยระบบลำโพง 9.1 Upright 3D
Upright 3D Speakers
นอกจากนั้นยังมีระบบ 3D Surround Processor ที่นำทุกเสียงมาสู่ผู้ฟังแม้จะเป็นรายละเอียดเสียงที่เล็กที่สุด จากการวิเคราะห์และกลั่นกรองเสียงจากต้นฉบับ ที่ซับซ้อน สร้างการรับรู้ของเสียงที่กระจายโดยรอบทั่วทุกมุมห้อง
Sound Field Expansion
ทั้งยังมีระบบ Sound Field Expansion ที่ช่วยกระจายเสียงในแนบราบ ให้เสียงกระจายรอบๆตัวผู้ฟัง เสมือนในโรงภาพยนตร์ ให้คุณดื่มด่ำและเต็มเติมอรรถรสของเสียงสามมิติได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดล

 Aves Digital ค่ายดังจากอังกฤษ เปิดตัวลำโพง Blutooth เทคโนโลยี A2DP


 เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับลำโพง bluetooth จากทาง Aves Digital ซึ่งครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะว่ามากันถึง 3 รุ่นพร้อมๆกัน โดยใช้เทคโนโลยี A2DP เหมือนกันหมดทุกรุ่น ไม่ต้องลุ้นว่าตัวไหนมีหรือว่าไม่มี

สำหรับรุ่นท็อปสุดนั่นคือ Aves Digital Diamond (£89) ซึ่งเป็นลำโพงตั้งโต๊ะที่มี driver ถึงสองตัว ซึ่งในแต่ละตัวนั้นมีกำลังขับถึง 15W และมีช่องขนาด 3.5mm ไว้สำหรับใช้กับอุปกรณ์อื่นที่ไม่มี bluetooth

รุ่นรองลงมาคือรุ่น Aves Digital Aqua (£60)  ซึ่งทำงานโดยใช้เพียงสาย USB เพียงเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เท่านั้นโดยไม่ต้องห่วงว่าใครจะเดินสะดุดสายไฟ หรือถ้าอยากจะเดินถือไปมาก็สามารถทำได้โดยการใช้แบตเตอร์รี่ภายในที่อยู่ได้ถึง 6 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต้องกลัวแบตหมดก่อนหมดวันแน่นอน โดยลำโพงตัวนี้มี driver เพียงตัวเดียว และมีกำลังขับ 3W โดยมาพร้อมกับปุ่มแบบสัมผัส

รุ่นต่อมาคือรุ่น Aves Digital Crystal (£60) ซึ่งมีราคาเท่ากับรุ่น Aqua แต่ส่วนที่แตกต่างคือ Crystal นั้นใช้ driver ขนาด 1.5 นิ้ว จำนวน 2 ตัว โดยความพิเศษของรุ่นนี้คือสามารถใช้สนทนาโทรศัพท์ผ่านทางลำโพงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานระหว่างขับรถโดยไม่ต้องกลัวตำรวจจับ ข้อหาโทรศัพท์ในขณะขับรถให้เปลืองเงินเปล่าๆ

ลำโพง JBL : On Tour XTB

ลำโพง JBL : On Tour XTB
JBL On tour XTB คือลำโพงแบบขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ให้การตอบสนองของเสียงได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงการนำเอาความเป็นเลิศทางด้านเทคโนโลยีแบบ Wireless Bluetooth มาใช้ด้วยนั้น ทำให้เจ้า On tour XTB เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเครื่องเสียง JBL ที่ซึ่งมีชื่อเสียงมายาวนานทั้งทางด้านคุณภาพและความเป็นผู้นำในด้านการผลิตเครื่องเสียง
ความสามารถพิเศษของ JBL On tour XTB คือระบบ Wireless Bluetooth เมื่อคุณเปิดใช้คุณสามารถเชื่อมต่อเข้าได้กับเครื่องเล่น MP3, iPod และ โทรศัพท์มือถือที่รองรับการฟังเพลงทุกชนิดที่มีระบบ Bluetooth หรือเครื่องเล่นอื่นๆ ที่มีสาย Audio Jack ขนาด 3.5″
ทางด้านคุณภาพเสียง JBL On tour XTB จะให้คุณได้สัมผัสกับระบบเสียงแบบใส หนักแน่น ชัดเจน ในทุกรายละเอียด ที่มาจากการออกแบบลำโพงแบบ Compact และ รวมถึงการเพิ่มฟังค์ชั่นการทำงานของระบบ Hands free speaker ที่จะทำให้คุณสามารถพูดคุยโทรศัพท์หรือได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของคุณ เชิญลองสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่จาก JBL On tour XTB Sound Center

ลำโพง YAMAHA : SWK-W10

ลำโพง YAMAHA : SWK-W10
ลำโพง YAMAHA : SWK-W10
ลำโพงชุดซับวูฟเฟอร์ไร้สาย  คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น AirWired-compatible กับซับวูฟเฟอร์ไร้สายได้ การเชื่อมโยง AirWired เป็นการส่งสัญญาณโดยไม่ถูกบีบอัด (linear PCM) เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการสูญเสียของสัญญาณข้อมูล ซึ่งจะทำให้ได้คุณภาพเสียงสูงสุด

ลำโพง JBL : ON TOUR IBT

ลำโพง JBL : ON TOUR IBT
ลำโพง JBL : ON TOUR IBT
High-performance portable sound system with Bluetooth® technology 
เพลิดเพลินกับภาพยนตร์,เพลงหรือเกมได้ทุกที่แบบไร้สาย ด้วยเทคโนโลยี Bluetooth มีไมค์ในตัวให้คุณแชท หรือสนทนา ผ่านทาง Speakerphone มีขาตั้งเพื่อให้คุณสามารถรับชม iPad หรือ Tablet ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน ทำงานด้วยแบตเตอรี่ JBL OnTour ™ iBT สามารถเล่นกับอุปกรณ์ใดๆผ่านทาง Bluetoothทั้งiPad, iPhone, iPod Touch, Smartphone, MP3, laptop หรือdesktopโดยให้เสียงที่ใสสะอาด และทรงพลัง สไตล์ JBL® ไม่ว่าที่ใดก็ตาม มันยังเชื่อมต่อโดยตรงกับเครื่องเล่นต่างๆผ่านทางสายสเตอริโอมินิแจ็ค  JBL On Tour iBT มีลำโพง Odyssey ® สี่ตัวให้เสียงแบบฟูลเลนจ์ และรองรับระบบ DSP ซึ่งให้รายละเอียดเสียงชัดเจนในรูปแบบ 360 องศา เป็นเครื่องเสียงพกพาขนาดเล็กกะทัดรัด JBLOn Tour iBT ใช้เทคโนโลยี Bluetooth แบบใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการส่งข้อมูลเพลงผ่านทางระบบ wireless ร่วมกับอุปกรณ์จาก Apple สนุกไปกับการเล่นเพลงไม่ว่าที่ใดที่ชีวิตนำไปกับเพื่อนคุณผ่านทาง JBL On Tour iBT
Highlights
  • ทำงานร่วมกับ  iPad 2, iPad, iPhone 4, iPod Touch และอีกหลายอุปกรณ์ผ่านทาง Bluetooth ที่รองรับระบบ A2DP  และ AVRCP
  • ประสิทธิภาพสูง,ชิ้นเดียว, ระบบเสียง 2 ช่องทาง
  • ง่ายต่อการใช้งานด้วยระบบสัมผัส
  • ใช้เทคโนโลยี Bluetooth แบบใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการส่งข้อมูลเพลงผ่านทางระบบ wireless ร่วมกับอุปกรณ์จาก Apple
  • รวมขาตั้งแบบปรับได้ถึง 6 มุมมองที่ต่างกัน สำหรับรับชม iPad หรือ Tablet ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
  • ภาคขยายแบบดิจิตอลควบคู่ไปกับระบบ DSP
  • ใช้แบตเตอรี่ขนาดAA 4ก้อน สำหรับการเล่นเพลงแบบต่อเนื่องนาน 5 ชม.
  • มีไมค์ในตัวให้คุณแชท หรือสนทนา ผ่านทาง Speakerphone รวมถึงระบบป้องกันเสียงสะท้อน เพื่อให้คุณสามารถสนทนาได้อย่างชัดเจน
  • ทำงานได้ทั้งแบตเตอรี่ หรือไฟบ้าน รวมถึงระบบจ่ายไฟแบบ Multi Voltage
  • มีช่องต่อ USB สำหรับชารจ์ไฟให้กับ iPad, iPhone และ iPod touch เมื่อทำงานจากระบบไฟบ้าน

ลำโพง Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth

ลำโพง Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth
ลำโพง Might Dwarf : Blue II Bluetooth
นวัติกรรมใหม่ของโลกกับ Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth ลำโพง Bluetooth ที่จะเป็นทุกอย่างที่มันสัมผัสให้กลายเป็นลำโพงเสียงทรงพลัง  ไม่ว่าจะวางบนโต๊ะ แปะไว้บนกระจก วางบนกล่อง ทุกที่ก็จะกลาย เป็นลำโพงส่งเสียงเพลงออกมาทันที และยังสามารถใช้ร่วมกับมือถือเพื่อรับโทรศัพท์ได้อีกด้วย ที่ตัวลำโพงสามารถควบคุมเสียง ทั้งเพิ่มและลดเสียง รวมทั้งสามารถกดหยุดหรือข้ามและถอยหลังไปฟังเพลงถัดไปได้อีกด้วย สามารถใช้ได้กับ เครื่องเล่นทุกชนิดที่มีระบบ Bluetooth รองรับ หรือสามารถต่อผ่านเครื่องเล่น iPod, MP3, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, โน้ตบุ้ค, และอุปกรณ์ Multimedia ทุกประเภทด้วย Stereo Mini Jack ขนาด 3.5 mm

Specifications :
• สามารถใช้ได้กับ เครื่องเล่นทุกชนิดที่มีระบบรองรับ รวมถึงเครื่องเล่น Ipod, MP3, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, โน้ตบุ้ค, และอุปกรณ์Multimedia ทุกประเภทด้วยการต่อผ่าน Stereo Mini Jack ขนาด 3.5 mm
• Bluetooth ระยะ 10m
• Speaker
• กำลังขับ 10 Watt
• การตอบสนองความถี่อยู่ที่40 Hz – 20 kHz
• ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 76 มิลลิเมตร ความสูง 68 มิลลิเมตร
• น้ำหนัก 290 กรัม
• ใช้กระแสไฟ 110V – 240V AC
• มีแบตเตอร์รี่ Lithium-ionสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงและใช้เวลาการประจุไฟฟ้าภายใน 4 ชั่วโมง ผ่านทาง UBS

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีการแสดงผลภาพ

1.LG LED Cinema 3D TV 42 นิ้ว - รุ่น 42LA6130

                              
            ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังมองหาแอลอีดีทีวีคุณภาพสูง ล้ำสมัย กับ LG LED Cinema 3D TV 42 นิ้ว - รุ่น 42LA6130 ที่มาพร้อมความละเอียดหน้าจอระดับ Full-HD คมชัดทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชั่น CINEMA 3D ทีวี 3 มิติที่ให้คุณรับชมได้อย่างมีมิติสมจริง และสบายตาที่สุด
คุณสมบัติเด่น

ที่สุดแห่งความบันเทิง
LG LED Cinema 3D TV 42 นิ้ว - รุ่น 42LA6130 ดีไซน์ Narrow Bezel กรอบทีวีบาง มาพร้อม Direct LED ซึ่งแสดงภาพจากหลอดแอลอีดีช่วยให้ภาพชัด สดใส และมีมิติสมจริง ความละเอียดหน้าจอระดับ Full-HD 1080p คมชัดทุกรายละเอียด พร้อมทั้งแสดงภาพเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่นด้วย Motion Clarity Index 100

CINEMA 3D
CINEMA 3D เทคโนโลยีทีวี 3 มิติที่พร้อมให้คุณรับชมทุกความบันเทิงได้ถึงขีดสุด ด้วยมิติภาพที่สมจริง และสบายตาที่สุด

อัจฉริยะภาพและเสียง
LG LED Cinema 3D TV 42 นิ้ว - รุ่น 42LA6130 มี Triple XD Engine ชิพประมวลผลอัจฉริยะ ช่วยเพิ่มความคมชัดและสมจริงของภาพ พร้อม Virtual Surround ระบบเสียงรอบทิศทางให้คุณรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง รวมถึง Clear Voice 2.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความคมชัดให้กับ “เสียงบทสนทนา”

ประหยัดพลังงาน
LG LED Cinema 3D TV 42 นิ้ว - รุ่น 42LA6130 มาพร้อม Smart Energy Saving ระบบปรับระดับการประหยัดพลังงานสามารถเลือกปรับได้ พร้อม Motion Eye Care ช่วยประหยัดพลังงานด้วยการลดความสว่างของหน้าจอลงเล็กน้อยโดยให้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับความเร็วภาพ

การเชื่อมต่อ
มี DivX HD รองรับการเล่นไฟล์แบบ HD ผ่านช่องต่อ USB MHL เชื่อมต่อไฟล์แบบความละเอียดสูงผ่านสาย Micro HDMI ควบคุมการใช้งานด้วยรีโมททีวี และสามารถชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ขณะเชื่อมต่อได้อีกด้วย นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมี Floating Swivel Stand ขาตั้งทีวีที่สามารถปรับหมุนได้อย่างอิสระอีกด้วย


2. Acer DX241H
          ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่ตามอ่านข่าวและรีวิวเว็บเราอยู่คงจะรู้กันแล้วว่าทีวีรุ่นใหม่ในปีนี้ เกือบทั้งหมดมีความสามารถในการเข้าถึง contents บนโลกออนไลน์กันได้แล้ว หรือจะเรียกแบบซัมซุงว่ามันเป็น Smart TV ซึ่งช่วยตอบสนองความต้องการของคนที่อยากจะเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ทระหว่างรับชมภาพยนตร์ที่ชื่นชอบ โดยปราศจากการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ให้ยุ่งยาก อย่างไรก็ตามขนาดของทีวีเหล่านั้นจะใหญ่มากสร้างความลำบากของคนที่มีพื้นที่จำกัดอย่างแน่นอน วันนี้ผมจึงอยากแนะนำ Acer DX241H มอนิเตอร์เล่นเน็ตได้ในขนาด 24 นิ้ว ที่พร้อมให้คุณท่องโลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดายไม่ต่างกับทีวีเล่นเน็ตได้เลยทีเดียว 

               สำหรับ DX241H นั้นมาพร้อมกับความละเอียด 1080p และ built-in browser รองรับการเล่นอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องง้อคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมี clear.fi โปรแกรมเอนกประสงค์ที่จะช่วยให้เราสามารถรับชมภาพยนตร์ที่ stream ขึ้นมาบนเครือข่ายในบ้านของเราได้อีกด้วย

 3.MT55 HD โต๊ะแบบ multitouch จาก Ideum


              Ideum ได้ปล่อยตัวโต๊ะแบบ multitouch ที่มีชื่อรุ่นว่า MT55 ออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว โดยมันเป็นจอ LCD+LED 55 นิ้ว ที่ให้ความละเอียด Full HD แน่นอนว่ามันคงไม่ได้เป็นจอนิ่ง ๆ อย่างแน่นอน ภายในขาโต๊ะประกอบไปด้วยขุมพลังแรงสูงอย่าง Intel Quad Core i7 CPU พร้อมแรม 4 GB ขับเคลื่อนกราฟฟิกระดับสุดยอดด้วย NVIDIA Quadro 600 ภายในติดตั้งโปรแกรม GestureWork สำหรับการใช้งาน Flash และ Flex พร้อมรองรับการแตะพร้อมกันได้มากถึง 32 จุด ดู ๆ แล้วเหมาะสำหรับการใช้งานออกแบบกราฟฟิก หรือจะเอาไปวางเป็นอุปกรณ์เสนอเจ๋ง ๆ
 

4.หน้าจอที่โค้งงอได้

samsung bendable display

           สิ่งแรกที่ต้องอ้างถึงคือ ด้วยโครงสร้างของเจ้าหน้าจอแบบโค้งได้นี้ เป็นหน้าจอที่มีพื้นฐานอิงบนหน้าจอแบบ OLED ซึ่งไม่ต้องการแผง backlight ด้านหลังแบบจอ LCD เดิม และเจ้าจอโค้งได้นี้สามารถแสดงผลบนวัสดุที่ทำมาจาก “พลาสติก” ได้ แทนที่จะเป็นกระจกแบบหน้าจอแบบเดิมๆ ซึ่งนี่เป็น สิ่งที่ทำให้หน้าจอแบบแบบใหม่นี้มาพร้อมกับคำจำกัดความใหม่ 2 คำ คือ โค้งงอได้ (Bendable) และ ไม่มีวันแตก (Unbreakable)
          ในส่วนของการโค้งงอได้นั้น เนื่องจากหน้าจอแบบใหม่นี้ มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มคล้ายกับถุงแบบ zip lock จึงทำให้มันสามารถดัดแปลงรูปร่างของมันได้ค่อนข้างหลากหลายและด้วยความที่วัสดุของมันทำมาจากพลาสติก ทำให้ถึงแม้เราจะทำมือถือตกหน้าจอกระแทกเข้ากับพื้นผิวแข็งๆ ตัวหน้าจอของมือถือเราก็จะไม่แตก (นี่คือสิ่งที่บทความเกี่ยวกับหน้าจอ bendable / flexible display จะกล่าวไว้ นั่นคือไม่มีวันแตก แต่ของจริงจะเป็นอย่างไร เราต้องรอพิสูจน์กันตอนมือถือที่ใช้จอแบบนี้ออกวางจำหน่ายจริงๆอีกทีครับ)
          อย่างไรก็ดี สำหรับมือถือนั้น ถึงแม้หน้าจอจะใช้งานจอแบบ bendable / flexible display แต่ว่าองค์ประ กอบอื่นๆในตัวเครื่องเช่น เมนบอร์ด แรมหรือแบตเตอร์รี่นั้นไม่ได้ผลิตมาให้สามารถโค้งตามจอได้ด้วย (ถึงแม้จะมีข่าวว่าองค์ประกอบเหล่านี้ก็เริ่มเข้าสู่การผลิตแบบให้สามารถโค้งงอได้แล้ว แต่ว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกซักพักครับ) นั่นไม่ได้หมายความว่ามือถือของคุณจะไม่มีวันพังนะครับ เพราะถ้าชิ้นส่วนที่เสียหายเป็นส่วนอื่นๆในเครื่อง ก็ทำให้มันพังได้เช่นกัน

5.ทีวีไม่มีสายไฟ Sony Wireless Power Transfer

Sony_wireless_power_transfer_LCDTVTHAILAND

            ถือว่าเป็นทีวีไร้สายตัวจริง เสียงจริงนะคะ เพราะทีวี Sony ไม่มีสายต่อลำโพง ไม่มีสายต่อเครื่องเล่น DVD หรือ Blu-ray ไม่มีสายต่อ Set-top-Box และไม่มีแม้กระทั่งสายไฟ!! 
     เทคโนโลยีทีวีไร้สายไฟของ Sony มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Sony Wireless Power Transfer” สามารถนำพลังงานไฟฟ้า 60 วัตต์ ส่งผ่านทางอากาศมาใช้เป็นพลังงานได้ ด้วยระยะห่างจากแหล่งกำเนิดพลังงาน 20 นิ้วหรือประมาณ 50 เซนติเมตร ถือเป็นระยะที่ใช้งานได้จริง นอกซะจากว่าบ้านจะมีพื้นที่ใหญ่อลังการแบบบ้านคุณ Roman ซึ่ง Sony ยังบอกด้วยว่า ในขณะที่ทดลองระยะห่างที่ทำได้มากที่สุด ทำได้ถึง 31 นิ้วหรือประมาณ 79 เซนติเมตรเลยทีเดียว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของตำแหน่งการวางทีวีอยู่ค่ะ เพราะใช้หลัก Magnetic Resonance Frequency แต่ถึงแม้ว่าจะมีวัตถุที่เป็นโลหะวางคั่นตรงกลางก็จะไม่มีการเหนี่ยวนำไฟฟ้าไปสู่วัตถุนั้น แต่ถ้าเป็นคนไฟแรงแบบคุณ GambitX ไปยืนอยู่แทนก็ไม่แน่นะคะ ผมที่สีทองอยู่ตอนนี้อาจจะกลายเป็นสีดำเกรียมๆ ได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ยังเป็นเพียงเทคโนโลยีต้นแบบที่จะใช้ในการพัฒนาต่อไปเท่านั้น แต่เท่าที่ขนมหวานดูจากแหล่งข้อมูลหลายๆ แห่งแล้ว ยังไม่เห็นมีการกล่าวถึงเรื่องของการรับประกันความปลอดภัย แต่ก็น่าจะพอใช้ได้ในระดับนึง ไม่งั้น R&D ของ Sony คงจะโดนไฟดูดจนหัวฟูไปหลายคนแล้ว

             

            6.OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต


            ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

        ในปัจจุบันจอภาพแบบ LCD และ LED ได้มาแทนที่จอแก้วแบบ CRT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยข้อดีต่าง ๆ ที่ดีกว่าจอ CRT ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นความบาง, ความคมชัดของภาพ, ประหยัดพลังงานกว่า และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในอนาคตอันใกล้ กำลังจะมีจอชนิดใหม่ที่จะมาแทนที่ LCD (และ LED) แล้ว ก็คือจอภาพแบบ OLED นั่นเอง เนื่องจากมีอุปกรณ์หลายชนิดที่หันไปใช้จอภาพแบบ OLED กันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, เครื่องเกมพกพา ฯลฯ แต่เชื่อว่าคงมีหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่ค่อยทราบว่าเจ้า OLED นั้นมันเป็นยังไง มีอะไรดี แล้วมันต่างกับ LCD ยังไงบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอพาท่านไปทำความรู้จักกับ OLED กันครับ
           ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

      OLED (Organic Light Emitting Diodes) คือจอภาพที่มีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์ม ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์ที่สามารถเปล่งแสงเองได้เมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้า เรียกว่ากระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence) โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแสง Backlight และจะไม่มีการเปล่งแสดงในบริเวณที่เป็นภาพสีดำ ส่งผลให้สีดำนั้นดำสนิท อีกทั้งยังช่วยพลังงานด้วย

          นอกจากนี้ จอภาพแบบ OLED ยังมีความบางกว่า LCD รวมทั้งมีความยิดหยุ่น สามารถโค้งงอได้ เนื่องจาก OLED มีโครงสร้างที่แตกต่างจาก LCD โดยโครงสร้างของ OLED นั้นประกอบด้วยสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่เป็นของแข็ง ทำจากวัสดุอินทรีย์มีทั้งแบบ Polymer และโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งมีความหนาเพียง 100-500 นาโนเมตรเท่านั้น (บางกว่าเส้นผมของคน 200 เท่า) และอาจมีชั้นสารอินทรีย์เป็นองค์ประกอบอยู่  2 หรือ 3 ชั้น

7.4K

 

          4K หรือ Ultra High Definition คือมาตรฐานใหม่ของความละเอียดของ "จอภาพ" และ "คอนเทนต์" โดย K ย่อมาจาก Kilo ซึ่งเท่ากับ 1000 ดังนี้ 4K ก็หมายถึง 4000 นั่นเอง สำหรับความละเอียดหน้าจอสำหรับทีวี 4K แบบ Widescreen หมายถึงมีความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล ผลรวมออกมาก็ได้ประมาณ 8.29 ล้านพิกเซล ทั้งนี้ความละเอียดในแนวนอนเท่ากับ 3840 เพื่อให้ง่ายต่อการเรียกจึงมีการปัดเศษขึ้นให้เป็น 4000 จึงเป็นที่มาของคำว่า 4K  ! ในทางกลับกันทีวี Full HD ซึ่งเป็นมาตรฐานในตอนนี้มีความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งผลรวมออกมาได้ประมาณ 2.07 ล้านพิกเซล จะเห็นได้ว่าความละเอียดหน้าจอของทีวี 4K มากกว่าทีวีแบบ Full HD ถึง 4 เท่า โดยเจ้าความละเอียด 4K นั้นกำลังจะเข้ามาเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งการถ่ายทำด้วยกล้องความละเอียด 4K และจอฉายแบบ 4K และตลอดจนสินค้าทีวีและโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนท์

   ประโยชน์ของภาพ 4K ในเชิงคุณภาพของภาพ
       ยิ่งเม็ดพิกเซลเยอะ ก็จะส่งผลให้ขนาดเม็ดพิกเซลมีความเล็กและเรียงตัวกันถี่มากยิ่งขึ้น "รอยหยักตามขอบภาพแบบขั้นบันได" (Jaggies) ก็จะน้อยลง รวมถึงพื้นที่ "รอยต่อระหว่างพิกเซล" (Screen Door Effect) ก็จะแคบลงทำให้ภาพแลดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น

8.Samsung  UHD TV ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก110นิ้ว,และMulti View TVชม2ช่องได้พร้อมๆ กัน


              Samsung เปิดตัว TV ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในงานแสดงสินค้าอีเล็คโทรนิคส์ที่ Berlin ประเทศเยอรมันนี  TV ระบบ ultra high-definition รุ่นนี้มีขนาด 110 นิ้ว มีความละเอียดคมชัดกว่า TV high-definition ที่ใช้กันอยู่ขณะนี้ถึง 4 เท่า กำหนดวางจำหน่ายต้นฤดูร้อนของปีหน้า ก่อนหน้าการแข่งขันฟุตบอลโลกในประเทศบราซิล ซึ่งจะเป็นเวลาที่ TV ขายดีที่สุด   Michael Zoeller ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดภาคพื้นยุโรปของ Samsung เปิดเผยว่าความคมชัดและขนาดของภาพจาก TV รุ่นนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูฟุตบอลจากที่นั่งระดับ VIP ในสนามฟุตบอล  ราคาของ TV รุ่นนี้ยังไม่เปิดเผย แต่ถ้าใครอยากได้ไว้ดูที่บ้านก่อนอื่นต้องเตรียมห้องขนาดใหญ่ไว้รองรับ TV ขนาดหน้าจอเกือบ 2 เมตรครึ่ง

9. Samsung ยังเปิดตัว TV รุ่นS9C ขนาด 55 นิ้วที่เป็น TV จอโค้ง



            Samsung เปิดตัว TV รุ่นS9C ขนาด 55 นิ้วที่เป็น TV จอโค้งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชมในโรงภาพยนตร์  TV รุ่นนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษคือเป็น TV แบบ Multiview ที่คน 2 คนสามารถชมรายการ TV คนละช่องแบบเต็มจอได้พร้อมๆ กันเสมือนมี TV 2เครื่องอยู่ในเครื่องเดียว โดยผู้ชมต้องใส่แว่น Samsung MultiView glasses ซึ่งมีหูฟังให้พร้อม


10. เปิดตัว BigTouch พีซีจอสัมผัสใหญ่ 55 นิ้ว

 

         ข่าวล่าสุดรายงานว่า บริษัท InFocus ซึ่งมีฐานที่มั่นในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัว BigTouch พีซีออลอินวันที่มีหน้าจอสัมผัสใหญ่ถึง 55 นิ้ว
        สำหรับสเปคนั้นก็ประกอบไปด้วย หน้าจอสัมผัสขนาด 55 นิ้ว ความละเอียด 1080p สามารถรองรับจุดสัมผัสได้ 5 จุดพร้อมกัน มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 8 โปรเซสเซอร์ Intel Core i5 ฮาร์ดดิสก์ SSD ขนาด 120GB WiFi มีพอร์ต USB มาให้ 6 ช่อง HDMI 2 ช่อง และ gigabit Ethernet 2 ช่อง แต่ไม่มีการบอกว่ามีแรมมาให้เท่าใด อ้างอิง : Neowin

เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูล

1.    Floppy Disk

         




    แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ เป็น    อุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก โดยทั่วไปมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยม คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์ ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดร์ฟ (floppy disk drive)

         ฟลอปปี้ดิสก์เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ถือได้ว่าอยู่ยั่งยืนมานานแสนนานและยังคงใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในอดีตฟลอปปี้ดิสก์จะมีขนาด 5.25 นิ้ว ซึ่งเป็นแผ่นใหญ่บรรจุข้อมูลได้ 1.2 เมกะไบต์จะบรรจุได้น้อยกว่าฟลอปปี้ดิสก์รุ่นใหม่ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งจะบรรจุข้อมูลได้มากกว่า 1.44 เมกะไบต์ในขนาดของแผ่นที่เล็กกว่า 

1.1    ระบบการทำงานของฟลอปปี้ดิสก์

กลไกการทำงานของฟลอปปี้ดิสก์จะค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์ โดยตัวจานหมุนจะเป็นวัสดุที่อ่อนนิ่ม เช่น ไมลาร์ ( Mylar ) ที่เป็นพลาสติกสังเคราะห์เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ในดิสก์ 1 แผ่นจะมีจานเดียว หัวอ่านจะเลื่อนเข้าไปอ่านข้อมูลและจะสัมผัสกับแผ่นดิสก์โดยตรง ทำให้แผ่นมีการสึกหรอได้ง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะมีการส่งสัญญาณไปเปลี่ยนแปลงค่าสนามแม่เหล็กที่หัวอ่าน เมื่อตัวไดรว์ของดิสก์อ่านข้อมูลได้แล้วจะทำการส่งต่อให้กับคอนโทรลเลอร์ควบคุมแบบอนุกรมทีละบิตต่อเนื่องกัน ขณะที่ฟลอปปี้ไดรว์ทำงาน อุปกรณ์อื่น ๆ ต้องหยุดรอ ทำให้การทำงานของระบบเกือบจะหยุดชะงักไป ที่มุมด้านหนึ่งของฟลอปปี้ดิสก์จะมีกลไกป้องกันการเขียนทับข้อมูล (write-protect) หากเป็นแผ่น 5.25 นิ้ว จะเป็นรอยบากซึ่งหากปิดรอยนี้จะไม่สามารถเขียนข้อมูลได้ ต่างกับ ดิสก์ 3.5 นิ้ว ที่จะเป็นสลักพลาสติกเลื่อนไปมา หากเลื่อนเปิดเป็นช่องจะบันทึกไม่ได้


1.2    ความจุของฟลอปปี้ดิสก์แบบต่าง ๆ

ขนาด
แบบที่เรียกว่า
ด้านที่บันทึก
ความจุข้อมูล
5.2นิ้ว
Single sided-Double Density
1
160/180 KB
5.2นิ้ว
Double sided-Double Density
2
320/360 KB
5.2นิ้ว
HD(High Density)
2
1.2 MB
3.5 นิ้ว
Double sided-Single Density
2
720 KB
3.5 นิ้ว
Double sided-High Density
2
1.44 MB
3.5 นิ้ว
Double sided-Quad Density
2
2.88 MB
3.5 นิ้ว
Floptical Disk
2
120 MB




2.    Hard disk

                                               


ฮาร์ดดิสก์ หรือ จานบันทึกแบบแข็ง ( hard disk ) คืออุปกรณ์บรรจุข้อมูลแบบไม่ลบเลือน     มีลักษณะเป็นจานโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กซึ่งหมุนอย่างรวดเร็วเมื่อทำงาน การติดตั้งเข้ากับตัวคอมพิวเตอร์สามารถทำได้ผ่านการต่อเข้ากับมาเธอร์บอร์ด ( motherboard ) ที่มีอินเตอร์เฟซแบบขนาน ( PATA ) แบบอนุกรม ( SATA ) และแบบเล็ก ( SCSI ) ทั้งยังสามารถต่อเข้าเครื่องจากภายนอกได้ผ่านทางสายยูเอสบีสายไฟร์ไวร์ของบริษัท Apple ที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า รวมไปถึงอินเตอร์เฟซอนุกรมแบบต่อนอก ( eSATA ) ซึ่งทำให้การใช้ฮาร์ดดิสก์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ถาวรเป็นของตนเอง ความจุของฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปในปัจจุบันนั้นมีตั้งแต่ 20 ถึง 250 กิกะไบต์ ยิ่งมีความจุมาก ก็จะยิ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น


2.1การควบคุมฮาร์ดดิสก์

Hard Disk จะสามารถทำงานได้ต้องมีการควบคุมจาก CPU โดยจะมีการส่งสัญญาณการใช้งานไปยัง Controller Card ซึ่ง Controller Card แบ่งออกได้ประมาณ 5 ชนิด ซึ่งจะกล่าวถึงเพียง 3 ชนิดที่ยังคงมีและใช้อยู่ในปัจจุบัน




3.    CD-ROM Drive




 แผ่นซีดีรอมเป็นสื่อในการเก็บข้อมูลแบบออปติคอล (Optical Storage) ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูล แผ่นซีดีรอม ทำมาจากแผ่นพลาสติกเคลือบด้วยอลูมิเนียม เพื่อสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงมา เมื่อแสงเลเซอร์ที่ยิงมาสะท้อนกลับไป ที่ตัวอ่านข้อมูลที่เรียกว่า Photo Detector ก็อ่านข้อมูลที่ได้รับกลับมาว่าเป็นอะไร และส่งค่า 0 และ 1 ไปให้กลับซีพียู เพื่อนำไปประมวลผลต่อไป

ความเร็วของไดรว์ซีดีรอม มีหลายความเร็ว เช่น 2x 4x หรือ 16x เป็นต้น ซึ่งค่า 2x หมายถึงไดรว์ซีดีรอมมี ความเร็วในการหมุน 2 เท่า ไดรว์ตัวแรกที่เกิดขึ้นมามีความเร็ว 1x จะมีอัตราในการโอนถ่ายข้อมูล (Data Tranfer Rate) 150 KB ต่อวินาที ส่วนไดรว์ที่มีความเร็วสูงกว่านี้ ก็จะมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล ตามตาราง


3.1  การทำงานของ CD-ROM

ภายในซีดีรอมจะแบ่งเป็นแทร็กและเซ็กเตอร์เหมือนกับแผ่นดิสก์ แต่เซ็กเตอร์ในซีดีรอมจะมีขนาดเท่ากัน ทุกเซ็กเตอร์ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อไดรว์ซีดีรอมเริ่มทำงานมอเตอร์จะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว หลายค่า ทั้งนี้เพื่อให้อัตราเร็วในการอ่านข้อมูลจากซีดีรอมคงที่สม่ำเสมอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเตอร์ ที่อยู่รอบนอกหรือวงในก็ตาม จากนั้นแสงเลเซอร์จะฉายลงซีดีรอม โดยลำแสงจะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ที่เคลื่อนตำแหน่งได้ โดยการทำงานของขดลวด ลำแสงเลเซอร์จะทะลุผ่านไปที่ซีดีรอมแล้วถูกสะท้อนกลับ ที่ผิวหน้าของซีดีรอมจะเป็น หลุมเป็นบ่อ ส่วนที่เป็นหลุมลงไปเรียก แลนด์ สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเจาะลึกลงไปเรียก พิต ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ และ แสงเมื่อถูกพิตจะกระจายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกเลนส์จะสะท้อนกลับผ่านแท่งปริซึม จากนั้นหักเหผ่านแท่งปริซึมไปยังตัวตรวจจับแสงอีกที ทุกๆช่วงของลำแสงที่กระทบตัวตรวจจับแสงจะกำเนิดแรงดันไฟฟ้า หรือเกิด และ ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ส่วนการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมนั้นต้องใช้แสงเลเซอร์เช่นกัน โดยมีลำแสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่อง บันทึกข้อมูลส่องไปกระทบพื้นผิวหน้าของแผ่น ถ้าส่องไปกระทบบริเวณใดจะทำให้บริเวณนั้นเป็นหลุมขนาดเล็ก บริเวณทีไม่ถูกบันทึกจะมีลักษณะเป็นพื้นเรียบสลับกันไปเรื่อยๆตลอดทั้งแผ่น  


3.    ชนิดของ CD-ROM

               
  1    ชนิดที่อ่านข้อมูลได้อย่างเดียว

        ซีดีรอมไดรว์จะมีการบอกเสปคเป็น ”x” เดี่ยวๆ เช่น48 x หรือ52 x ก็จะหมายถึงอ่านข้อมูลได้ที่ความเร็ว 48x และ 52 x ตามลำดับ

   2    ชนิดที่สามารถอ่านและเขียนบันทึกข้อมูลได้

         ซีดีอาร์ไดรว์
CD-R Drive
ย่อมาจาก
CD Recordable Drive
ซึ่งนอกจากจะอ่านแผ่นซีดีแล้วยังสามารถเขียนบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีอาร์ CD-R : CD-Recordable ที่เป็นแผ่นซีดีแบบบันทึกข้อมูลอย่างเดียวได้อีกด้วยโดยจะมีการแบ่งสเปคไว้ 2ตัว เช่น 4x24 หมายถึงเขียนข้อมูลได้ที่ 4 x ละอ่านข้อมูลได้ที่ 24x เป็นต้น




4.    DVD-ROM Drive

  
      
  
    ดีวีดี (DVD; Digital Versatile Disc) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc)ที่ใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โดยให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ดี ดีวีดีถูกพัฒนามาใช้แทนซีดีรอม โดยใช้แผ่นที่มีขนาดเดียวกัน ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร ) แต่ว่าใช้การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน และความละเอียดในการบันทึกที่หนาแน่นกว่า เดิมทีดีวีดีมาจากชื่อย่อว่า digital video disc แต่ในภายหลังผู้ผลิตบางรายเห็นว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น digital versatile disc ปัจจุบันตามคำนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว DVD ไม่ได้ย่อมาจากชื่อเต็มแต่อย่างใด เครื่องเขียนแผ่นดีวีดี ( DVD Writer ) คือ เครื่องสำหรับการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดี

        
 4.1  คุณสมบัติของดีวีดี

                      4.1.1 สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอที่ความละเอียดสูงได้ถึง 133 นาที

                      4.1.2 การบีบอัดของวิดีโอในรูปแบบ MPEG-2 นั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ 4 : 0 : 1

                      4.1.3 สามารถมีเสียงในฟิล์มได้มากถึง 8 ภาษา โดยในแต่ละภาษาอาจจะเป็นระบบเสียงสเตอริโอ 2.0 ช่อง (รูปแบบ PCM) หรือ ระบบเสียงรอบทิศทาง (เช่น 4.0, 5.1, 6.1 ช่อง) ในรูปแบบ Dolby Digital (AC-3) หรือ Digital Theater System (DTS)

                      4.1.4 มีคำบรรยาย (Subtitle) ได้มากสูงสุดถึง 32 ภาษา

                      4.1.5 ภาพยนตร์ดีวีดีบางแผ่นนั้น สามารถเปลี่ยนมุมกล้องได้ด้วย (Multiangle)

                      4.1.6 สามารถทำภาพนิ่งได้สมบูรณ์เหมือนภาพสไลด์

                      4.1.7 ควบคุมระดับสิทธิการเล่น (Parental Lock)

                      4.1.8 มีรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes)


 4.2    ชนิดของแผ่นดีวีดีที่ใช้บันทึกนั้นมีอยู่ 6 ชนิด คือ

                 4.2.1 DVD-R  

                      4.2.2 DVD+R   

                      4.2.3 DVD-RW   

                      4.2.4 DVD+RW  

                      4.2.5 DVD-R DL   

                      4.26 DVD+R DL


4.3    ข้อดีของ DVD-RW และ DVD+RW

    ข้อดีของ DVD-RW และ DVD+RW คือ สามารถนำกลับมาบันทึกใหม่ ได้กว่า 100,000 ครั้ง แต่ดีวีดีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้คือ DVD-R ในการบันทึก DVD แต่ละชนิดนั้นไม่สามารถใช้งานข้ามชนิดได้ คือ ไม่สามารถใช้งานข้ามไดร์ฟได้ เช่น DVD-RW ไม่สามารถใช้งานในเครื่องบันทึก DVD+RW ได้ ต้องเขียนกับเครื่องบันทึก DVD-RW เท่านั้น ส่วนการอ่านข้อมูลใน DVD นั้น สามารถอ่านกับเครื่องไหนก็ได้ เช่น DVD+RW สามารถอ่านกับเครื่องเล่นDVD-RW ได้




5.    แฟลชไดรฟ์ (Flash Drive)

                 

     

   
 แฟลชไดรฟ์ หรือ ยูเอสบีไดรฟ์ เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูลโดยใช้หน่วยความจำแบบแฟลช ทำงานร่วมกับยูเอสบี 1.1 หรือ 2.0 มีลักษณะเล็ก น้ำหนักเบาเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดยต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุของไดร์ฟมีตั้งแต่ 8, 16, 32, 64, 128 จนถึง 1024 เมกะไบต์ ทั้งนี้ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกัน ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2549) บางรุ่นมีความจุสูงถึง16 GB โดยทั่วไปไดรฟ์จะทำงานได้ในหลายระบบปฏิบัติการซึ่งรวมถึง วินโดวส์98/ME/2000/XP แมคอินทอช ลินุกซ์ และยูนิกซ์ แฟลชไดรฟ์ รู้จักกันในชื่อต่างๆ รวมถึงทัมบ์ไดรฟ์    คีย์ไดรฟ์   “จัมป์ไดรฟ์ และชื่อเรียกอื่น โดยขึ้นอยู่กับผู้ผลิต



5.1    ชื่อเรียกอื่น

ชื่อเรียกของแฟลชไดรฟ์ (รวมถึงคำว่าแฟลชไดรฟ์) ไม่มีชื่อพื้นฐานที่กำหนด โดยผู้ผลิตได้ตั้งชื่อเป็นโมเดลของตัวเอง ซึ่งได้แก่

5.1.1 คีย์ไดรฟ์ (key drive)

5.1.2 จัมป์ไดรฟ์ (jump drive) เครื่องหมายการค้าของเล็กซาร์

5.1.3 ดาต้าคีย์ (data key)

5.1.4 ดาต้าสติ๊ก (data stick)

5.1.5 ทราเวลไดรฟ์ (travel drive) เครื่องหมายการค้าของ เมโมเร็กซ์

5.1.6 ทัมบ์ไดรฟ์ (thumb drive)

5.1.7 ทัมบ์คีย์ (thumb key)

5.1.8 เพนไดรฟ์ (pen drive)

5.1.9 ฟิงเกอร์ไดรฟ์ (finger drive)

5.1.10 แฟลชไดรฟ์ (flash drive)

5.1.11 แฟลชดิสก์ (flash disk)

5.1.12 เมโมรีไดรฟ์ (memory drive)

5.1.13 ยูเอสบีไดรฟ์ (usb drive)

5.1.14 ยูเอสบีคีย์ (usb key)




6.    เทคโนโลยี Blu-Ray



บลูเรย์ดิสค์ (Blu-ray Disc) หรือ บีดี (BD) คือรูปแบบของแผ่นออพติคอลสำหรับบันทึกข้อมูลความละเอียดสูง ชื่อของบลูเรย์มาจาก ช่วงความยาวคลื่นที่ใช้ในระบบบลูเรย์ ที่ 405 nmของเลเซอร์สี "ฟ้า" ซึ่งทำให้สามารถทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่าดีวีดี ที่มีขนาดแผ่นเท่ากัน โดยดีวีดีใช้เลเซอร์สีแดงความยาวคลื่น 650 nm

6.1    ประวัติบลูเรย์

มาตรฐานของบลูเรย์พัฒนาโดย กลุ่มของบริษัทที่เรียกว่า Blu-ray Disc Association ซึ่งนำโดยโซนี และ ฟิลิปส์ เปรียบเทียบกับ เอ็ชดีดีวีดี (HD-DVD) ที่มีลักษณะและการพัฒนาใกล้เคียงกัน บลูเรย์มีความจุ 25 GB ในแบบเลเยอร์เดียว (Single-Layer) และ 50 GB ในแบบสองเลเยอร์ (Double-Layer) ขณะที่ เอ็ชดีดีวีดีแบบเลเยอร์เดียว มี 15 GB และสองเลเยอร์มี 30 GB

ความจุของบลูเรย์ดิสค์ ซึ่งปกติแผ่นบลูเรย์นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับแผ่น ซีดี/ดีวีดี โดยแผ่นบลูเรย์จะมีลักษณะแบบหน้าเดียว และสองหน้า โดยแต่ละหน้าสามารถรองรับได้มากถึง 2เลเยอร์ อาทิ แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Single Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 25 GB แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layerแบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB แผ่น BD-R (2DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบสองหน้า มีความจุ 100 GB ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น Blu-Ray ที่มีค่า 1x, 2x, 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิต ต่อ วินาที นั่นหมายความว่า 4x นั่นจะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิต ต่อ วินาที  
       
6.2    Blu-ray Player

แผ่นดีวีดีโดยทั่วๆ ไปมีความจุ 4.7 กิกะไบต์ โดยเป็นขนาดความจุที่สามารถเก็บ ภาพยนตร์ขนาดความยาว 135 นาทีได้ในรูปแบบภาพวิดีโอมาตรฐานที่ถูกบีบอัดแล้ว อย่างไรก็ตาม ความจุขนาดนี้แม้จะมากก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเก็บภาพยนตร์ในรูปแบบวิดีโอแบบความคมชัดสูงได้ โดยถ้าต้องการเก็บภาพยนตร์ความยาวเท่ากันในรูปแบบวิดีโอความคมชัดสูงแบบบีบอัดจะต้องการพื้นที่เพิ่มมากถึงห้าเท่า ทำให้ Blu-ray และ HD-DVD ถือกำเนิดขึ้นมาโดยใช้แสงเลเซอร์ที่ใช้ในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์แบบใหม่ซึ่งเป็นแสงสีน้ำเงิน (  คือแสงสีน้ำเงิน-ม่วง ) แสงสีน้ำเงินนี้จะมีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดงของแผ่นดีวีดีทั่วๆ ไปทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงแผ่นดิสก์ได้มาก กว่าบนเนื้อที่เท่าเดิม โดย Blu-ray สามารถเก็บวิดีโอความคมชัดสูงได้นานถึง 9 ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ในดีวีดีทั่วๆ ไปได้นานต่อเนื่องถึง 23 ชั่วโมง

นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเรื่องของชั้นเคลือบดิสก์ โดยดิสก์แบบ Blu-ray มีชั้นเคลือบที่มีความหนาเพียงหนึ่งในหกของ ความหนาของดีวีดีทั่วๆ ไปหรือ HD-DVD นั่นทำให้ชั้นข้อมูลของดิสก์แบบ Blu-ray ใกล้ชิดกับผิวหน้าของดิสก์มากขึ้นและทำให้แสงเลเซอร์จากเครื่องเล่นแบบ Blu-ray อ่านข้อมูล ที่ถูกเก็บไว้เป็นชั้น (layer) ชั้นเดียวได้จำนวน มากขึ้น โดยโซนี่เองวางแผนที่จะเพิ่มชั้นของข้อมูลจาก 2 เป็น 4 ชั้นภายในปี 2007 และจะเพิ่มเป็น 8 ชั้นในที่สุด นั่นทำให้ดิสก์แบบ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นในแต่ละ ชั้นและเก็บได้หลายชั้นมากกว่า HD-DVD

Blu-ray มีโซนี่เป็นแกนนำภายใต้การสนับสนุนจากบริษัทอีกหลายบริษัท เช่น มัตซึ ชิตะ (พานาโซนิค)ธอมสันแอลจีฟิลิปส์ไพโอเนียร์ชาร์ป และซัมซุง รวมถึงวงการคอมพิวเตอร์อย่างเดลล์และเอชพี ในขณะที่ HD-DVD ถูกพัฒนาโดยโตชิบาและเอ็นอีซีเท่านั้น นั่นทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการนั่งดูหนังที่บ้านมากขึ้น โดยเป็นภาพยนตร์ความคมชัดสูงในระดับเดียวกับที่สามารถนั่งดูได้ที่มัลติเพล็กซ์

6.3    เครื่องเล่นบลูเรย์รุ่นแรก

6.3.1 โซนี่ เพลย์สเตชัน 3           

6.3.2 โซนี่ รุ่น BDP-S1

6.3.3 ซัมซุง รุ่น BD-P1000

6.3.4 พานาโซนิค รุ่น DMP-BD10

6.3.5 ไพโอเนียร์ รุ่น BDP-HD1

6.3.6 ฟิลิปส์ รุ่น BDP9000

6.3.7 ชาร์ป รุ่น DV-BP1

6.3.8 แอลจี รุ่น BD100

6.3.9 ไลท์-ออน รุ่น BDP-X1





7.    เทคโนโลยี HD-DVD



HD DVD ( High Definition DVD หรือ High Density DVD ) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง ( optical disc ) ที่ใช้บันทึกวิดีโอความละเอียดสูง ( high definition ) หรือข้อมูลชนิดอื่นๆ ก็ได้ HD DVD มีลักษณะใกล้เคียงกับ Blu-ray ซึ่งเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลคู่แข่ง โดยใช้ขนาดแผ่นเท่ากับซีดีรอม ( เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซม. )

7.1    ประวัติของ HD DVD

HD DVD ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมหลายบริษัท เช่น โตชิบา, NEC, ซันโยไมโครซอฟท์ และอินเทล รวมถึงบริษัทภาพยนตร์อย่าง Universal Studios โตชิบายังได้ออกวางขายเครื่องเล่นแผ่น HD DVD เครื่องแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2006

7.2    ความจุของ HD DVD

HD DVD แบบเลเยอร์เดียวจุข้อมูลได้ 15GB และ 30GB สำหรับแบบสองเลเยอร์ โตชิบาได้ประกาศว่าจะผลิตแผ่นแบบ 3 เลเยอร์ที่จุได้ 45GB ในตัวแผ่น HD DVD สามารถใส่ข้อมูลชนิดดีวีดีแบบเดิม และ HD DVD ได้พร้อมกัน การอ่านข้อมูลใช้เลเซอร์ความยาวคลื่นแสงสีฟ้า (405นาโนเมตร )

ชั้นข้อมูลจะถูกบันทึกถัดไปจากพื้นผิว 0.6 มิลลิเมตรเช่นเดียวกับดีวีดีทั่วไป เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลวิดีโอคือ MPEG-2, Video Codec 1 และ H.264/MPEG-4 AVC สนับสนุนระบบเสียงแบบ7.1 ในส่วนความละเอียดของภาพนั้นขึ้นกับจอภาพที่ใช้ด้วย แต่สามารถขึ้นได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p

7.3    HD DVD Player

เมื่อเรามองย้อนไปในอดีตจะพบว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีอันมีผลต่อการเสพสิ่งบันเทิงล้วนสร้างความแตกต่างให้กับผู้เสพในเรื่องประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ การถือกำเนิดของโทรทัศน์ที่กลายเป็นเครื่องใช้ประจำบ้านไปแล้วและเป็นอุปกรณ์ที่เกือบมาทำให้ธุรกิจภาพยนตร์ต้องถึงกาลอวสานโดยทำให้จำนวนผู้ออกไปชมภาพยนตร์ นอกบ้านในปี 1948 ที่มีจำนวน 90 ล้านคนต่อสัปดาห์เหลือเพียง 20 ล้านคนต่อสัปดาห์ในปี 1966 และเมื่อคนอเมริกันมีโทรทัศน์สีใช้แล้วก็ทำให้คนดูอีกกว่า 70 ล้านคนต่อสัปดาห์ เลิกไปโรงภาพยนตร์ และทำให้ฮอลลีวูดต้องหันมาลงทุนโฆษณาจำนวนมหาศาล เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ผ่านโทรทัศน์เพื่อดึงคนกลับไปดูภาพยนตร์อีกครั้ง เมื่อมีวิดีโอและดีวีดี รวมถึงการสามารถทำสำเนาวิดีโอและดีวีดีเถื่อนได้ก็ส่งผลให้โรงภาพยนตร์แทบจะหายไปจากทวีปเอเชียและยุโรปตะวันออกเลย นี่หมายความว่า Blu-ray รวมถึง HD-DVD กำลังจะมาสร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้งต่อวงการฮอลลีวูด จริงๆ แล้วดีวีดีแบบ Blu-ray น่าจะเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโซนี่ โดยการที่ดีวีดีแบบนี้จะมีชั้นของการเก็บข้อมูล หลายชั้น ซึ่งนอกจากสามารถเก็บข้อมูลดิจิตอลจำนวนมากๆ ได้แล้วยังสามารถใช้ใน การบันทึกข้อมูลที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ตได้ด้วย โดยเป็นโปรโมชั่นของเว็บไซต์ของ โซนี่เองที่สามารถเพิ่มเกมมิวสิควิดีโอ รวมถึง อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ที่สามารถนำมาเพิ่มให้เต็มครบชุดได้





9.    ZIP drive ของ Iomega  Jazz drive



นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีคล้ายกัน แต่รูปแบบต่างกันไป เช่น Zip Drive จากIomega ที่ออกมาก่อน Superdisk แต่ได้รับความนิยมมากพอสมควร Zip Drive มีทั้งรุ่นที่ต่อกับParallel port,USB port และแบบ SCSI และได้เพิ่มความจุจาก 100 เป็น 250 เมกะไบต์Iomega ยังได้ผลิต Jaz Drive ที่มีลักษณะเหมือนฮาร์ดดิสก์ถอดได้ โดยจะมีตัวไดรว์เป็นระบบSCSI เท่านั้น และมีแผ่นบรรจุข้อมูลขนาด 1 GB และ 2 GB นิยมใช้สำหรับการสำรองข้อมูลย้ายไปมา เนื่องจากมีความเร็วน้อยกว่าฮาร์ดดิสก์ และยังมีราคาแพงกว่า Zip หรือ Superdisk มาก

ความคิดเห็นส่วนตัว : ไม่เป็นที่นิยมกันแล้ว ถึงแม้จะมีความสามารถในการจุของข้อมูลได้มากในระดับหนึ่งแต่ก็มีราคาที่ค่อนข้างแพงและไม่เหมาะกับการใช้งานในปัจจุบันเท่าที่ควรนัก
แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=119937





10.    เทปแบ็คอัพ ( Tape Backup )



เป็นอุปกรณ์สำหรับการสำรองข้อมูล ซึ่งเหมาะกับการสำรองข้อมูลทีมีขนาดใหญ่ๆ ระดับ 10-100 กิกะไบต์
ความคิดเห็นส่วนตัว : ปัจจุบันเทปแบ๊คอัพยังเป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานในการสำรองข้อมูลที่สำคัญ เหตุผลที่ไม่ใช้ฮาร์ดดิสก์เพราะฮาร์ดดิสก์ต้องการไฟเลี้ยง หากทำตกแล้วอาจพังง่าย แต่เทปแบ๊คอัพไม่ต้องการไฟเลี้ยง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า แต่ก็ต้องแลกกับการอ่าน-เขียนของข้อมูลที่ยังคงแพ้กว่าฮาร์ดดิสก์อีกด้วย
แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=119937






11.    การ์ดเมมโมรี ( Memory Card )




เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก พัฒนาขึ้นเพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยีแบบต่างๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ ( Personal Data Assistant PDA) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

ความคิดเห็นส่วนตัว : หากพูดถึงสิ่งๆนี้แล้ว ปัจจุบันเป็นที่นิยมในการใช้งานอยากแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลในกล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ เนื่องจากมีราคาที่ถูก สามารถเลือกความจุของข้อมูลที่ต้องการได้อย่างหลากหลาย
แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=119937


สรุป : เทคโนโลยีในปัจจุบันมีความสำคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมากเนื่องจากช่วยในการอำนวยความสะดวกต่างๆโดยเฉพาะในส่วนของการเก็บข้อมูลที่ต้องการความรวดเร็ว ความจุของข้อมูลที่สูง และรวมไปถึงความปลอดภัยของข้อมูลก็เป็นสิ่งสำคัญซึ่งก็มีให้เลือกใช้งานได้อย่างหลากหลายตามความต้องการ
        อย่างไรก็ตาม เราควรเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการด้วย จะได้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไปและใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ!!!